กับสิ่งที่หลายคนแปลกใจก็คือการตัดสินใจของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สำหรับการส่ง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ดิโอโก้ โจต้า เป็นตัวจริงลงสนามในการบุกไปเยือนเอติฮัด สเตเดี้ยม ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เปรียบเสมือนการเปิดหน้าสู้ แม้ทีมจะมีสถิติที่ไม่ดีเท่าไหร่นักสำหรับการบุกมาเยือนสนามแห่งนี้ โดยทีมชนะได้ครั้งล่าสุดคือปี 2015

คล็อปป์ออกมากล่าวอธิบายถึงการตัดสินใจดังกล่าว โดยตอบด้วยคำสั้นๆ ได้ว่า “คุณต้องกล้าหาญ” เพื่อหวังที่จะเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการกลับบ้านไป หลังจากโจต้าทำผลงานได้อย่างน่าประทับในช่วงหลายเกมหลังสุดที่ผ่านมา ซึ่งดาวเตะชาวโปรตุเกสเพิ่งจะทำแฮตทริคให้กับทีมในเกมที่บุกไปถล่ม อตาลันต้า ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มเมื่อกลางสัปดาห์

สำหรับการลงสนามเป็นตัวจริงของมาเน่ และซาล่าห์ ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอยู่แล้ว ในขณะที่ฟีร์มิโน่มีโอกาสที่จะเป็นตัวจริงในเกมนี้ เนื่องจากเป็นตัวสำรองในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ สวนทางกับโจต้าที่ลงสนามเป็นตัวจริง แต่ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของนักเตะก็ทำให้คล็อปป์ไม่สามารถมองข้ามได้

โจต้าย้ายจากวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส มายังแอนฟิลด์ด้วยค่าตัว 41 ล้านปอนด์ เมื่อซัมเมอร์ล่าสุด โดยดาวเตะวัย 23 ปี ทำไปได้ 7 ประตู จากการลงสนาม 10 เกมรวมทุกรายการ ซึ่งเป็น 6 ประตู จากการลงสนาม 4 เกมท้าย โดยคล็อปป์ถูกถามก่อนเกมดังกล่าว สำหรับการจัดทัพลงสนามในเกมนี้ ในขณะที่นายใหญ่ชาวเยอรมันต้องการโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการ

คล็อปป์ กล่าวว่า “ผมคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว พวกเรามีเวลา 2-3 วัน ในการพักฟื้นสภาพร่างกายและพวกเราได้ซ้อมไปไม่กี่วัน สำหรับการเตรียมตัวและพวกเราก็เลือกตัวจริง พวกเราตัดสินใจแล้ว พวกเราก็ลุย ผมต้องการคุณภาพในทุกพื้นที่สนามที่แตกต่างกัน ถ้าคุณต้องการอะไรบางอย่าง คุณต้องมีความกล้าหาญ กับแผนการเล่นเกมรุกของพวกเรา ถ้าทุกคนทำไปตามหน้าที่ของตัวเองมันจะเป็นรูปแบบที่พวกเรามีเกมรับที่แข็งแกร่งด้วย ดังนั้น พวกเราจะได้เห็นกัน”

สุดท้ายเกมจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 หลังจากซาล่าห์ทำประตูจากจุดโทษ ช่วยให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ ก่อนที่กาเบรียล เฆซุสจะทำประตูตีเสมอ ในขณะที่เควิน เดอ บรอยน์ พลาดจุดโทษ ทำให้ทั้งสองทีมจบลงด้วยการแบ่งคะแนนในเกมนี้ ก่อนที่จะพักเบรกทีมชาติ